เข้าสู่ปีใหม่ทั้งทีแต่โควิด-19 ก็ยังไม่หายไปจากเราและไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุดลงง่าย ๆ จากการพบการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสสู่เชื้อโอมิครอน ส่งผลให้หลากหลายองค์กรกลับมาใช้รูปแบบการทำงาน Work From Home อีกครั้ง เพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ
และนี่เองเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หลาย ๆ ท่านอาจเจอกับ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” หรือ “Burnout Syndrome” ซึ่งเป็นความเครียดทางด้านจิตใจส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยล้าและหมดไฟอย่างไม่มีสาเหตุ
ภาวะทางจิตใจที่เกิดจากความเครียดสะสมหรือความเหนื่อยล้าจากการทำงาน
เมื่อเปลี่ยนบ้านเป็นที่ทำงานแล้วทำให้ปรับตารางทำงานได้ค่อนข้างยาก ทำงานไม่เสร็จตามเป้าหมาย รวมถึงอุปกรณ์การทำงานที่ยังไม่พร้อม
สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดภาวะเครียดสะสมจนภาวะหมดไฟในการทำงานและในระยะยาวอาจนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าได้ อีกทั้งในปี 2562 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” เป็นสภาวะที่ต้องได้รับการรักษาในทางการแพทย์โดยระบุในคู่มือวินิจฉัยและ
จัดประเภทของโรคระหว่างประเทศ (The International Classification of Diseases) อีกด้วย
• รู้สึกสูญเสียพลังงาน หรือมีภาวะอ่อนเพลีย
• มีความรู้สึกต่อต้านและมองงานของตนเองในทางลบ ขาดแรงจูงใจในการทำงาน
• ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
• พยายามปรับสมดุลของการใช้ชีวิตทั้งด้านการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance)
• พักผ่อนให้เพียงพอและดูแลร่างกายให้ดี
• คลายความเครียดด้วยการทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ดูภาพยนตร์ ฟังเพลง ออกกำลังกาย ท่องเที่ยว
• ลดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์สื่อสาร และจำกัดเวลาการใช้โซเชียลมีเดีย
• ขอความช่วยเหลือ ปรึกษาหารือคนที่อาจช่วยได้ รวมถึงพูดคุยระบายความเครียด
ปัญหาสุขภาพจิตอย่าง “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” หรือ “Burnout Syndrome” ไม่ใช่เรื่องที่เราจะละเลยและต้องอดทนอีกต่อไป หมั่นตรวจสอบภาวะจิตใจของตนเองเพื่อให้รู้เท่าทันและ
สามารถจัดการความเครียดได้อย่างถูกวิธี เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและปลุกไฟในการทำงานอีกครั้ง ด้วยความห่วงใยจากประชาคมศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์